ตั้งแต่ต้นปี 2018 ผ่านมา Facebook ได้ทำการปรับอัลกอริทึ่มครั้งใหญ่ โดยในฟีดของผู้ใช้จะมีการแสดงฟีดของเพื่อน ญาติสนิท และเฟสกลุ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังออกมาห้ามเรื่องขอ Like Comment Share ในโพสต์ อันมีผลทำให้ การเข้าถึงโพสต์ หรือ Reach ที่เคยต่ำอยู่แล้วแค่ 1 % ยิ่งตกลงไปอีก
ดังนั้นการทำเพจแบบเดิมๆ จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป ครูบอย จึงมีไอเดียที่ได้ลองทำมาแล้วและได้ผล ในการทำเพจอย่าง ไปเที่ยวกัน gothaitogether (ปัจจุบัน มีกว่า 8 แสนไลก์ ) และ เพจ Kruboydigital.com-ครูบอย มาเล่าสู่กันฟัง
3 วิธีที่ทำเพจมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1. รู้จักและเจาะกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้าคุณอย่างถ่องแท้
ยุคนี้ คนในโลกทุกคนไม่ใช่ลูกค้าเราครับ สินค้าเราทำมาเพื่อคนกลุ่มหนึ่ง แต่อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะไม่ใช่ การหว่านโพสต์แบบสมัยก่อนๆ ด้วยการทำให้คนกดไลก์เพจเยอะๆ แล้วค่อยหาลูกค้าที่ใช่ทีหลัง อาจทำให้คุณใช้เวลาไปกับการหาโพสต์ที่ไม่ใช่ แทนที่จะโฟกัสไปยังโพสต์ที่ใช่และถูกใจกลุ่มเป้าหมายของคุณจริงๆ
นั่นหมายความว่า ก่อนที่จะทำ Content เพื่อที่จะโพสต์ สิ่งที่คุณต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้คือ กลุ่มเป้าหมาย หรือ ลูกค้าของคุณคือใครกันแน่ ลูกค้าของคุณอายุ เพศ ศาสนา ชอบอะไร ฯลฯ เป็นสิ่งที่คุณต้องกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น เพราะ Content แต่ละแบบก็เหมาะกับ กลุ่มเป้าหมายต่างกันไป คนที่อายุ 24-35 อาจจะชอบ Content ที่มีคำสมัยใหม่เช่น ปัง หรือ จุงเบย ฯลฯ แต่ Content ที่เป็นคำสมัยใหม่แบบนี้ อาจจะไม่เหมาะกับกลุ่มคนอายุมากกว่า 50 เป็นต้น นี่แหล่ะครับ ความสำคัญของการรู้จักกลุ่มเป้าหมาย กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แน่ชัด
ใน Facebook เองมีเครื่องมือดีๆ อย่าง Facebook Audience Insights ที่ช่วยให้คุณรู้จักลูกค้ามากขึ้น คุณสามารถเข้าไปใช้ได้ที่ www.facebook.com/ads/audience_insights
2. ทำ Content แบบ Outside-in
การทำ Content แบบ Outside-in คือการทำ Content โดยเอาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นที่ตั้ง ที่ตรงข้ามกับการทำ Content แบบ Inside-out คือการทำ Content แบบที่เราอยากบอก เช่น หากคุณขายน้ำหอม การทำ Content แบบ Inside-out จะบอกลูกค้าหรือคนฟัง คนอ่านว่า น้ำหอมของเราทำจาก…. ด้วยกรรมวิธีที่ให้หอม อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งคนสมัยนี้ไม่ค่อยฟัง เพราะมีแบรนด์ที่บอกเล่าเรื่องแบบนี้ถมไป
แต่หากทำ Content แบบ Outside-in คือ ศึกษาว่าลูกค้าเค้าต้องการอะไรจากน้ำหอม เราก็จะบอกเล่าผ่าน Content ในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น น้ำหอมที่คุณใช้เมื่อเช้า ยังรัญจวนจมูกผู้ชายที่คุณแอบชื่นชมมั้ย ส่วนใหญ่ไม่เพราะ เมื่อบ่ายจะเริ่มเจือจาง จากหอมกลายเป็นหาย เลือกกน้ำหอมด้วยวิธีต่อไป เพื่อให้แน่ใจว่า น้ำหอมติดทนตั้งแต่เช้าจนเข้านอน ได้แก่ 1.น้่ำหอมที่ทำจาก…(ส่วนผสมที่เป็นส่วนผสมในน้ำหอมที่คุณขายนั่นแหล่ะ ) 2. ฯลฯ
ด้วยวิธีการเล่าเรื่อง ทำ Content ที่ต่างออกไป จะทำให้เข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า โอกาสการซื้อจะมากกว่าครับ เพราะคุณได้ศึกษามาแล้วว่า ลูกค้าเค้ามีปัญหาอะไร ปัญหาที่ว่าคือ น้ำหอมที่ใช้ ไม่ทนถึงเย็น แล้วก็เอาวิธีแก้เข้าไปเชื่อมหัวใจลูกค้า ครับ อันนี้ เป็นตัวอย่างนึงในการทำ Content แบบ Outside-In คือลูกค้ามีปัญหา อยากได้สิ่งไหน พูดในสิ่งนั้นครับ
3. ซื้อโฆษณา Facebook แบบมืออาชีพ
การซื้อโฆษณาบนเฟสบุ้คใน พศ.นี้ เป็นต้นไป ครูบอย บอกได้เลยว่า เป็นเวทีของมืออาชีพ เพราะ หากคุณยัง โพสต์บนเพจ แล้วกดปุ่ม โปรโมทโพสต์ หรือ Boost a post สิ่งที่คุณจะเจอคือ
- ได้ลูกค้าแค่กลุ่มเดียว และส่วนใหญ่มือสมัครเล่นจะใช้โพสต์ที่มีอยู่แล้วในการโปรโมทโพสต์ ไปยังคนกดถูกใจเพจและเพื่อนของเขา ซึ่งอาจไม่ตรงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายก็เป็นได้ แถมยังทำให้เปลืองค่าโฆษณาโดยใช่เหตุอีกด้วย
- การกดปุ่ม Boost a Post มีเป้าหมายอย่างเดียวคือ เพิ่ม Engagement ซึ่งจริง ๆ แล้วหากคุณทำโฆษณาผ่าน Browser ในคอมพิวเตอร์หรือโน็ตบุ๊ก โดยเข้าไปที่ Ads Manager หรือ ตัวจัดการโฆษณา ในระบบการซื้อโฆษณา จะมีเป้าหมายในการโฆษณาให้เลือกอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่การสร้างการรับรู้แบรนด์( Brand Awareness) ไปจนถึง เปลี่ยนคนดูให้เป็นลูกค้า (Conversion) ทำให้เรายิงโฆษณาไปได้แม่นยำ ตามที่ต้องการมากขึ้น
- มีสถิติ ในการวัดผลไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่ หากใช้แค่ปุ่ม Boost a post และมือสมัครเล่นส่วนใหญ่ก็มักจะดูแค่ว่า มีคนเห็นโพสต์หรือ Reach เยอะมั้ย หรือ มีคนกด LIKE Comment Share มากแค่ไหน และคำถามยอดฮิต ขายได้มั้ย ซึ่งตัวเลขเพียงแค่ที่คุณใช้ประเมินผลการโฆษณาแค่นั้นไม่พอที่จะบอกว่า โฆษณาของคุณมีสิทธิภาพมากมั้ย เนื่องจาก Facebook มีตัวเลขอื่นๆ ที่สำคัญๆ ให้เราดู เช่น Relevance Score , Cost per ad lift, Message replies ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เรานำวิเคราะห์ต่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้โฆษณาต่อไปได้ครับ
ฉะนั้น การซื้อโฆษณาแบบมืออาชีพที่เค้าทำกัน เค้าก็จะไม่เริ่มที่กดปุ่มโปรโมทโพสต์ แต่จะเริ่มจากเลือกกลุ่มลูกค้าที่จะยิง Ads แล้วกำหนดเป้าหมายที่จะยิง ว่าจะยิงเพื่อขาย จะยิงเพื่อให้เห็นแบรนด์ หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งใน Facebook มีเป้าหมายในการยิงให้เลืิอก แล้วเราก็มาคิดว่า โฆษณาแบบไหนเหมาะสม ซึ่งบางทีเราจะไม่ใช้โพสต์ปัจจุบันเลย อาจจะเป็นโพสต์ขายของที่ไม่แสดงในเพจ แต่แสดงแค่กลุ่มเป้าหมายที่เราโฆษณาก็ยังได้ที่เรียกว่า Hidden Post หรือที่หลายคนเรียก Dark Post
การเข้าไปโฆษณาก็เข้าผ่านคอมฯ แล้วเข้าไปที่ Ads Manager ครับ ก็จะมีขั้นตอนการโฆษณาให้เราทำตามขั้นตอน ส่วนรายละเอียดเชิงลึก ครูบอยขอไม่พูด ณ ที่นี้ เพราะค่อนข้างลึกซึ่ง (สำหรับใครที่อยากเรียน Facebook Ads แบบใกล้ชิดกับครูแบบกลุ่มไม่เกิน 5 คนในโครงการ Digital Fastlane ก็อ่านที่นี่ หรือ ถามครูบอยมาที่ LINE@ ID : @kruboydigital ได้ครับ )
ก่อนจบ ครูขอนำคลิป ที่ครูได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการ เจาะกึ๋นการตลาด หัวข้อ Facebook Marketing ของ มสธ. มาให้รับชมครับ 🙂