9 เทคนิคจิตวิทยายั่วลูกค้าออนไลน์ให้ซื้อ เพิ่มยอดขายเข้าเป๋า

9 วิธีเพิ่มยอดขาย

ในยุคที่การขายของออนไลน์เฟื่องฟู พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น การที่จะให้อยู่รอด ไม่เพียงต้องสร้างแบรนด์ให้คนจดจำเท่านั้น เรายังหาวิธีการในการเพิ่มยอดขาย ให้ได้รับออเดอร์จากลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย ครูบอยจึงขอเสนอ 9 เทคนิคจิตวิทยาให้ลูกค้าออนไลน์ซื้อ เพิ่มยอดขายเข้าเป๋า

เพิ่มยอดขายด้วย 9 เทคนิคป้ายยาต่อไปนี้

1. ลดราคา

เทคนิคเพิ่มยอด ที่น้อยคนจะไม่ใช้ เพราะคนเรายังชอบของถูกไงครับ แม้ว่าการลดราคาแบบปกติ เช่น ราคา 100 เหลือ 80 70 … ยังคงใช้ได้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้ คนชอบอะไรที่ดูหวือหวา จูงใจมากกว่าเดิม

แทนที่คุณจะใช้ แบบเดิมๆ คุณอาจจะใช้แบบดูมีแทคติกขึ้น เช่น ซื้อ 100 มีทอน 30 หรือ ซื้อแล้วยังเหลือตัง 30 หรือ ลดแค่วันนี้เท่านั้น 10.10 (ลดเฉพาะ 10 เดือน 10) อะไรทำนองนี้  ซึ่ง เว็บไซต์/แอพประเภท e-Marketplace มักชอบใช้ เช่น Lazada Shopee JD Central ThisShop และอีกหลายเจ้า ฯลฯ

ลดราคา เพิ่มยอดขาย

แม้ว่า เทคนิคนี้ จะใช้ได้เสมอ แต่สิ่งที่ตามมา คือ เมื่อลูกค้า ซื้อของถูกจากคุณ เค้าย่อมคาดหวังคุณภาพที่แม้อาจจะไม่สูง แต่ก็ต้องให้สมกับราคาและประโยชน์ของสินค้าที่คุณเสนอไว้ หากไม่เป็นดังลูกค้าหวัง ครั้งหน้าเค้าย่อมไม่อยากกลับมาซื้อ แถมอาจจะโดนรีวิวเสียๆหายๆ ผ่าน Social ก็เป็นได้ครับ

นอกจากนี้ การใช้เทคนิคนี้ ก็อาจจะทำให้เกิด สงครามราคา(Price War) ขึ้นมาได้ หากแบรนด์อื่นเห็นสินค้าของคุณลดราคา ครับ

2. เหลือๆ ขาดๆ

ฟังแล้วดูเหมือน จะเหลือ ๆ ขาดๆ เกินๆ (ฮ่าๆๆๆ) เทคนิคหนึ่ง ที่ช่วยเร่งการซื้อของผู้คนครับ

คนเราชอบอะไรที่มีการแข่งขัน ยื้อแย่ง หรือรีบไปเป็นเจ้าของสิ่งนั้น สังเกตดูครับ เวลามีกะบะลดราคาใน ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือสินค้าที่มีจำกัด ฉันก็จะขอเป็นหนึ่งล่ะ ที่ได้เจ้าสิ่งนั้นครอง

บนออนไลน์ก็เช่นกัน การทำโปรโมชั่นแบบ สินค้าชิ้นนี้เหลือ  3 ชิ้น รีบเป็นเจ้าของ หรือ เปิดรับแค่ 5 คนสำหรับราคานี้ ยิ่งทำให้คนที่อยากซื้ออยู่แล้ว ตัดสินใจเร็วขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณขายสินค้าแบรนด์ดัง

ครูบอยเคยทำงานใน บ.ออนไลน์ขายกระเป๋า ก็ใช้วิธีนี้ ในการดุึงลูกค้าให้มาซื้อสินค้าแบรนด์เนม เช่น แว่นตา Prada ปกติราคา 4,xxx บาท เหลือ 3,xxx บาท แต่มี แค่ 3 ชิ้นนะ คนที่อยากได้อยู่แล้ว ก็ตัดสินใจเร็วขึ้น ฯลฯ อันนี้ ยก ตัวอย่างเพื่อความเข้าใจนะครับ

3. รีบหน่อย(Urgency)

เว็บไซต์ smartinsights ให้ข้อมูลโดยอิงจากผลการสำรวจของ Oxford Academic ที่ศึกษาเรื่อง The Mere Urgency Effect (ผลก่ารเร่งเร้าเหนืออื่นใด) พบว่า ” แม้กิจกรรมที่ไม่สำคัญ แต่เมื่อถูกเร่งเร้าให้รีบทำ คนมีแนวโน้มจะทำก่่อนสิ่งสำคัญเสียอีก “

Flash sale

และนั่น ก็สามารถใช้ได้ในการทำการตลาด การทำโปรโมชั่นสินค้า เช่น คุณอยากปล่อยสินค้าที่เหลือค้างสต็อก อาจจะใช้วิธีการ ไลฟ์ 1 ช.ม. ในเฟสบุ๊ค แล้วตั้งราคาต่ำกว่าปกติ แต่ลูกค้าจะต้อง ซื้อในไลฟ์เท่านั้น อาทิ คุณอยากโละสต็อกกระเป๋า 10 ใบ ก็ตั้งราคาขาย 999 บาท จากปกติ 1999 บาท แต่ต้อง CF เฉพาะในไลฟ์เท่านั้น จบไลฟ์ ขายราคาเดิม อะไรทำนองนี้

 

4. Reason why แก้ปัญหา

การขายสินค้า คือ การช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้า หากวิธีแก้ปัญหานั้นตรงใจ สิ่งที่ตอบรับกลับก็คือ คำสั่งซื้อจากลูกค้านั่นเอง

วิธีนึงในการที่จะดึงลูกค้ามาหาเรา คือ การโยนปัญหาให้ลูกค้า หรือไม่ก็หยิบปัญหาที่ลูกค้ากำลังเจอ และเอาสินค้าหรือบริการของเราเสนอให้ลูกค้านั่นเอง เช่น ครูบอย ขาย ” คอร์สสร้างเว็บไซต์ได้ง่าย แม้ไม่รู้โปรแกรมมิ่ง ” โดยนำเสนอปัญหา ว่า พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่อยากมีเว็บไซต์ของตัวเอง แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์ คอร์สนี้ช่วยให้ คุณสร้างเว็บไซต์แบบ ลาก&วาง เหมือนต่อจิ๊กซอว์ ไม่ต้องมีความรู้แบบโปรแกรมเมอร์ก็ทำได้ ฯลฯ

 

5.  ให้มีส่วนร่วม (Anticipation)

การทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมต่างๆ ในสินค้าหรือบริการ ทำให้ลูกค้ารู้สึก อินไปกับสินค้ามากขึ้นครับ ดูตัวอย่างที่เห็นชัดๆ ก็คือ Apple เวลาจะออกสินค้าใหม่ๆ ทุกปี มักจะมีการจัดอีเว้นท์เพื่อเปิดตัวก่อนขาย เพื่อกระตุ้นความอยากรู้ของผู้คนที่่เฝ้ารอ โดยการเชิญให้ผู้สื่อข่าวและผู้สนใจติดตาม อีเว้นท์นี้ ได้ทั้งออนไลน์ และ ออฟไลน์(แต่ในช่วงโควิด เขาเน้นออนไลน์เป็นหลัก)

หากเราไม่ใช่แบรนด์ระดับ Apple เราก็สามารถทำให้ลูกค้ามีส่วนร่วมได้หลายวิธี เดี๋ยวนี้ เครื่องมือออนไลน์ทำให้ชีวิต พ่อค้า แม่ค้า หรือเจ้าของแบรนด์ ง่ายขึ้นมาก ก็ใช้ Facebook Live ,Youtube Live , หรือ Social Media อีกหลายอันที่ให้เราทำ Live ได้ไงครับ

เราอาจจะทำได้ตั้งแต่ ให้ผู้คนแข่งกันตั้งชื่อสินค้าในรายการ หรือ ให้ประมูลสินค้า หรือ แม้แต่ซื้อขายในรายการเลยในราคาลด ฯลฯ ก็ทำได้ คนเดี่ยวนี้ชอบดูอะไรสดๆ เห็นหน้าคนขาย หรือ เจ้าของแบรนด์ และยังผูกใจและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับลูกค้าด้วยครับ

 

6. รีวิวจากผู้ใช้ (Social proof)

ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน เทคนิคนี้ ยังคงใช้ได้เสมอ นั่นคือ รีวิวจากผู้ซื้อนั่นเอง ยิ่งสมัยที่คนซื้อสินค้าออนไลน์กันเยอะขึ้น การรีวิวจากคนที่เคยซื้อของๆเรา และได้รับรีวิวดีๆ จากเขา ย่อมทำให้สินค้าของคุณขายได้ลื่นขึ้น

คุณลองสังเกตตัวเองหรือถามเพื่อนดูก็ได้ครับว่า เวลากดซื้อของออนไลน์ หรือจองตั๋วอะไรก็แล้วแต่ เราหรือเพื่อนเรามักจะมองหา รีวิวจากคนที่เคยซื้อของนัั้นมาแล้ว

ฉะนั้น เมื่อลูกค้าของคุณซื้อของจากคุณแล้ว อย่าลืมขอให้เค้าช่วยรีวิว หรือ ให้เรทติ้ง กHได้ เพื่อคุณจะได้นำรีวิวของเขามาเป็นเครื่องยืนยันเพิ่มความมั่นใจการควักเงินจากกระเป๋าของลูกค้าใส่ในเป๋าคุณครับ อย่างคลิปด้านล่างคือ ตัวอย่างการรีวิวคอร์สของครูบอยครับ

 

7. ใช้คนดังพูด( KOL)

วิธีนี้ ดูจะคล้ายๆ กับในข้อ 6 แต่ดูส่งผลในวงกว้างมากกว่าครับ การให้คนดังพูด หรือ แนะนำสินค้า บาางครั้งอาจจะต้องมีการจ่ายค่าจ้างให้คนเหล่านั้น หรือ ไม่ก็ได้

ดูตัวอย่างง่ายๆ เมื่อไม่นานมานี้ ลิซ่า แบล็คพิ๊งก์ พูดถึง ลูกชิ้นยืนกินที่บุรีรัมย์ นักร้องระดับโลก ที่มีแฟนคลับมหาศาลทั้งไทยและเทศพูดออกมา ส่งผลให้ ลูกชิ้นยืนกินที่เคยเงียบเหงาช่วงโควิด กลับมาคราคร่ำไปด้วยผู้คน ที่อยากกินแบบที่ศิลปินตัวเองชอบ

ภาพจาก pptvhd36.com

หรือแม้แต่บล็อกเกอร์ หรือ ยูทูปเบอร์ หรือคนดังในออนไลน์ที่มีคนตามเรือนแสนเรือนล้าน รีวิวสิ่งใดออกไป ย่อมทำให้แฟนคลับอยากไปทำตาม หรือ ซื้อสินค้าตามก็ได้ ฯลฯ ครับ

ในข้อ 6 และ 7 นะครับ ภาษาการตลาดเรียกว่า Influencer Marketing

8. ซื้อแล้วเป็นส่วนหนึงของสังคม (Community)

… ไอเท็มนี้ต้องมี ไม่งั้นคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง …

เพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมครับ ต้องการการยอมรับ สินค้าบางอย่าง ถ้าไม่มีอาจจะอยู่ในสังคมที่เราอยู่ไม่ได้ ความคิดนี้จึงถูกนำมาใช้ในเชิงการตลาด เช่น หากเพื่อนคุณหุ่นดีกันหมด แต่เราเป็นคนหุ่นไม่ดี นี่ก็เป็นช่องให้สินค้าประเภทอาหารลีน เครื่องออกกำลังกาย อาหารเสริมลดน้ำหนัก หรืออะไรที่ทำให้หุ่นดีไม่อายเพื่อน สามารถมาเติมเต็มความต้องการในส่วนนี้ได้ครับ

นักการตลาดออาจจะทำ Content ออกมาในแนว มี ไอเท็มนี้แล้วไม่อายใคร หรือ ใช้สินค้านี้แล้วมั่่นใจเมื่อเจอเพื่อนฝูง ก็ทำได้ครับ

9. ของแถม (Free Gift)

เป็นอีกกลวิธีในการดูดตังจากกระเป๋าลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่เล็งสินค้าชนิดนั้นๆไว้แล้ว จะเห็นได้จาก แบรนด์มือถือหลายๆค่าย ในฝั่งแอนดรอยด์ หลายๆครั้ง ที่ออกมือถือใหม่ สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ ของแถมเพียบ บางเจ้าก็แถมลำโพง แถมเคส แถมโน่นนี่ เยอะแยะไปหมด จนลูกค้ายอมควักเงินซื้อก่อนจะหมดโปรโมชั่นของแถม ครับ

แต่ของแถม ก็คือต้นทุน ก่อนที่เราจะมอบของแถมให้ลูกค้า ใคร่ควญต้นทุนที่เพิ่มขึ้นด้วยนะครับ เราอาจจะใช้วิธีการ จำกัดจำนวนของแถมเช่น กดซื้อ 100 คนแรกรับเลย….. ฯลฯ ครับ

 

เราสามารถผสมผสาน วิธีข้างต้นทำไปพร้อมกันได้นะครับ เช่น คุณอาจจะใช้ KOL เพื่อขายของในราคาลด และให้ของแถมดด้วยก็ได้ตามกำลังของคุณครับ

อ่านจบแล้ว ลองไปทำกันดูแล้วมาเล่าให้ครูบอยฟังได้นะครับที่
LINE OA ID : @kruboydigital หรือ
Inbox : kruboydigital

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น Required fields are marked *