ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป เป็นปีที่ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ จะอยู่ยากขึ้นทุกวัน เพราะ ลำพังด้วยวิธีการขาย การลงโฆษณาใน Facebook แบบเดิมๆ บนออนไลน์ ทำให้ยอดเริ่มไม่เข้าเป้า เพราะ มีพ่อค้าแม่ค้า และ แบรนด์ใหม่ๆ เข้าสู่ออนไลน์กันมากขึ้นๆ ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น เพจใหญ่ๆ และแบรนด์ใหญ่ปรัยเข้าสู่โลกดิจิทัล กันเต็มสตรีม แน่นอน เม็ดเงินที่เทเข้าสู่ Facebook Ads ย่อมมากขึ้นด้วย
ดังนั้น การหาสื่อโฆษณาที่ตอบโจทย์ และสร้างยอดขายให้เราเพิ่มขึ้น หรือ อย่างน้อยก็ทำให้ยอดไม่ตก จึงเป็น 1 ในทางออก และแน่นอน Google Ads ที่เพิ่งเปลี่ยนจาก Google Adwords มาสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 24 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา
5 เหตุผลที่ต้องลง Google Ads
1. พึ่งสื่อโฆษณา Facebook Ads อย่างเดียว อันตราย!
ทุกวันนี้ หากคุณยังยิง Facebook Ads อย่างเดียว คุณก็จะสังเกตุเห็นได้ว่า ค่าโฆษณาแพงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ขายของอาจจะเท่าเดิม หรือ ยิงไป ก็ขายไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน ก็เพราะ ยุคนี้ ผู้คนกระโดดเข้าสู่ Facebook Ads กันมากขึ้น เพราะอัลกอริทึ่มของ Facebook ทำให้การเข้าถึงโพสต์ของเพจเราลดลง แต่เมื่อคนเริ่มยิง Facebook Ads มากขึ้น และระบบการที่จะให้โฆษณาแสดงในหน้าฟีดของกลุ่มเป้าหมาย คือการ BID หรือ ประมูล นั่นย่อมทำให้ คนแข่งกัน Bid เพ่ื่อให้ชิ้นโฆษณาของเรามีโอกาสแสดงให้กลุ่มเป้าหมายเห็น และเมื่อกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสซ้ำกันสูง แน่นอน มูลค่าการประมูล ย่อมสูงตาม แถมบางที จำนวนคนเห็นโฆษณาของเราลดลงด้วย แม้ว่าจะใช้งบเท่าเดิม
การที่จะทำให้การขายของได้ยอดเท่าเดิม หรือ สูงขึ้น ย่อมต้องใช้งบประมาณที่สูงขึ้น และชิ้นโฆษณาที่แตกต่างและดึงใจคนมากขึ้นด้วย
ดังนั้น การพึ่ง Facebook Ads อย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน คงไม่ใช่หนทางในการทำให้คนเห็นแบรนด์เรา อีกต่อไป Google Ads จึงเป็นอีกหนทางในการแก้ไขปัญหา
จริงๆ แล้ว ในตลาดสือโฆษณาออนไลน์ ยังมีช่องทางให้เราเลือกอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น Display Ads ในเว็บไซต์อื่นๆ หรือ Advertorial ในเว็บดังๆ ก็ยังใช้ได้ ฯลฯ แต่ Google มีสื่อโฆษณาที่ทรงพลังอย่าง Google Ads และมีใช้มานานกว่า Facebook Ads แถมผู้คนก็ยังใช้ Google เป็นช่องทางในการค้นหา จึงพลาดไม่ได้ที่จะใข้สื่อโฆษณาจากยักษ์ใหญ่เจ้านี้
2. Google Ads ยิงตรงไปความต้องการ
ผู้คนเข้าเว็บไซต์ของ Google ก็เพื่อ ค้นหาสิ่งที่ตนเองต้องการ ค้นหาวิธีที่จะแก้ปัญหา ด้วยคำค้น หรือ Keywords และรูปแบบในการโฆษณาแบบหนึ่งที่ Google Ads มีให้เราคือ Search Ads หรือ โฆษณาที่แสดงขึ้นมาในหน้าแรกเมื่อกลุ่มเป้าหมายค้นหาด้วย Keyword ที่เราประมูลไว้
การยิงโฆษณาตาม Keywords ที่ลูกค้าใช้ค้นหา ถือว่าเป็นการโฆษณาแบบ Intent Advertising หรือ โฆษณาสนองความต้ั้งใจที่จะค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหากคุณเลือกได้ถูกต้อง และทำองค์ประกอบการลงโฆษณาได้ถูกต้อง ยอดขายหรือเป้าหมายอื่นที่คุณตั้งไว้ก็จะได้ผลตามที่ต้องการ (สนใจเรียนรู้แบบใกล้ชิดในโครงการ Digital Fastlane : คอร์สสร้างเว็บไซต์ แล้วกระโดดไกลด้วย Google Ads คลิกที่นี่ )
3. ได้ผลเร็วกว่ารอ SEO
SEO หรือ Search Engine Optimization คือการทำให้เว็บไซต์หรือเพจของเราขึ้นอันดับต้นๆในหน้าแรกของ ผลค้นหาใน Search Engine โดยไม่จ่ายเงินให้ Search Engine ในที่นี้หมายถึง Google ซึ่งหากคนที่ทำด้าน SEO จะรู้ดีว่า กว่าเว็บของเราจะขึ้นอันดับไม่ใช่เรื่องง่ายที่พอทำปุ๊ป ขึ้นปั๊ป จะต้องอาศัยระยะเวลาพอสมควร ยิ่งในธุรกิจฮ๊อตๆๆ เช่น ท่องเที่ยว หรือ แฟชั่น บางที่อาจรอนานเป็นปีๆ
แต่หากคุณลง Google Ads และเลือก Keyword เหมาะสม เว็บไซต์เราก็จะขึ้นก่อนผลค้นหาในเวลาไม่เกิน 30 นาที ถ้าทำถูกต้องครับ
4. จ่ายเมื่อคลิก
ความแฟร์อย่างหนึ่งของการลงโฆษณา Google Ads คือ คุณจ่ายเงินให้ Google ก็ต่อเมื่อ มีคนคลิก โฆษณาของคุณ ทำให้เราควบคุมงบประมาณได้ดี
ปัจจุบัน Facebook Ads ทำให้เราต้องจ่ายค่าโฆษณาตามจำนวนคนที่เห็น Ads 1,000 สายตา หรือเรียกว่า Impression นั่นหมายความว่า ไม่ว่ากลุ่มเป้าหมายจะเลื่อนผ่าน หรือ กด Ads ของเรา เราก็ต้องเสียเงินอยู่ดี ยกเว้น แต่คุณจะเลือกจะลง VIDEO Ads ที่ให้เราเลือกจ่ายเมื่อ มีคนดูวิดีโอเราแล้ว 3 วินาที
5. งบ 1 บาทก็ลง Ads ได้
จริงครับ เรากำหนดงบประมาณในการลง Google Ads เพียง 1 บาทต่อวันก็ได้ แต่ทั้งนี้ ครูไม่ต้องการให้คุณลงแค่ 1 บาทนะครับ แต่จะบอกว่า งบประมาณน้อย ก็ลงได้
ขณะที่ Facebook Ads เริ่มต้นที่ 30 บาทต่อวัน แต่ทั้่งนี้ ไม่ได้ความว่าจะให้คุณทิ้ง Facebook แล้วมาลง Ads ใน Google Ads เพราะ ตราบใดที่คนยังเล่นเฟส อยู่ ในฐานะ นักการตลาดย่อมต้องกระจายสื่อไปอย่างหลากหลาย เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
สำหรับคนที่สนใจเรียนคอร์สแบบ Private เรียนไม่เกิน 7 คน ใน โครงการ Digital Fastlane : คอร์สสร้างเว็บไซต์ แล้วกระโดดไกลด้วย Google Ads คลิกที่นี่ )
ขอให้สำเร็จทุกท่าน
ครูบอย
