เบื่อความแพงของ Photoshop ลอง 8 เครื่องมือนี้เลย

เครื่องมือทดแทน Photoshop

Photoshop จากค่าย Adobe เป็นเครื่องมือตกแต่งภาพสำหรับมือใหม่และมืออาชีพมานมนาน แต่สิ่งที่คนเบี้ยน้อยหอยน้อยต้องบ่นอุบก็คือ เรื่องของราคาที่แสนแพงแถมเก็บเป็นรายปี ก็มี แต่ในปัจจุบัน มีเครื่องมือทดแทน Photoshop อยู่มากมายหลายตัว

ในโพสต์นี้ ครูบอย จะมาแนะนำเครื่องมือที่ส่วนใหญ่ ฟรี มาให้เลือกใช้กัน มาดูกันเลยครับ

8 เครื่องมือทดแทน Photoshop

1. Gimp

ดาวน์โหลด ได้ที่  www.gimp.org/downloads/

Gimp เป็นเครื่องมือทดแทน Photoshop มานานพอดู ออกเวอร์ชั่นแรก ในปี 1995 น่าจะเรียกได้ว่า เป็นของฟรีแทน Photoshop ตัวแรกๆในวงการตกแต่งภาพเลยก็ว่าได้ ครับ

Gimp

ข้อดี GIMP

  1. ฟรี!  เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สฟรี ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และมีมานานแล้ว
  2.  GIMP มีหลากเวอร์ชั่นให้เลือกทำงาน สามารถทำงานบน Windows, macOS และ Linux ก็ได้ครับ
  3. มีเครืองมือหลากหลายสำหรับการจัดการรูปภาพ รวมถึงการแก้ไขสี การโคลนนิ่ง ฯลฯ
  4. มีคอมมูนิตี้ ที่ช่วยให้คุณเรียนรู้ได้ เยอะมาก ครับ
  5. GIMP อนุญาตให้ผู้ใช้ติดตั้งปลั๊กอินและสคริปต์เพื่อขยายฟังก์ชันการทำงาน ตลอดจนอนุญาตให้ผู้ใช้ปรับแต่งส่วนต่อประสานตามความต้องการ

ข้อด้อย GIMP :

  1.  GIMP อาจทำงานได้ช้าและใช้ทรัพยากรมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทำงานกับรูปภาพขนาดใหญ่หรืองานที่ซับซ้อน
  2.  ในฐานะซอฟต์แวร์ฟรีและโอเพ่นซอร์ส GIMP ไม่ได้รับการสนับสนุนเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการจากผู้พัฒนา ครับ

 

2. Paint.net

ดาวน์โหลด ได้ที่ www.getpaint.net/download.html

โปรแกรมนี้ ออกมาครั้งแรกๆ ก็เทียบได้กับ โปรแกรม Paint ของ Microsoft และก็พัฒนามาเรื่อยๆ ครับ มาดูข้อดี ข้อด้อยกันครับ

Paint.net

ข้อดีของ Paint.NET:

  1. ฟรีและโอเพ่นซอร์ส: Paint.NET เป็นซอฟต์แวร์ฟรี ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
  2. หน้าตาของ Paint.NET เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีอินเทอร์เฟซที่เรียบง่ายและใช้งานง่ายซึ่งทำให้การเรียนรู้และใช้งานได้ไม่ยากนัก
  3. ด้วยความเบาและรวดเร็วของตัวโปรแกรม  ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับงานแก้ไขภาพขั้นพื้นฐานครับ มืออาชีพอาจต้องการมากกว่านั้น
  4. มีเครื่องมือ จัดการรูปภาพ รวมถึงเครื่องมือการเลือก การแก้ไขสี และการสนับสนุนเลเยอร์ ด้วยครับ
  5. มีการอัพเดทโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง

ข้อด้อยของ Paint.NET:

มีให้ใช้บน Windows เท่านั้น

 

 

3. Photopea

เข้าใช้ออนไลน์ ได้ที่ www.photopea.com

ออกมาครั้งแรกในปี 2013 ใช้บนเว็บไซต์ได้ไม่ต้องโหลดให้ยุ่งยาก ยังใช้กับไฟล์ PSD ได้ด้วยครับ

Photopea

ข้อดีของ Photopea:

  1. ใช้งานฟรีและไม่ต้องสมัครสมาชิกใดๆ คือ ดี! แต่ถ้าอยากได้ ฟีเจอร์เพิ่ม เช่น PEA Drive 5 GB , ไม่มีโฆษณามากวนใจ
  2. มีเครื่องมือแก้ไขรูปภาพมากมายที่คล้ายกับ Adobe Photoshop
  3. อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ทำให้สามารถเข้าถึงได้สำหรับทั้งมืออาชีพและมือใหม่
  4. รองรับไฟล์ได้หลายรูปแบบ ได้แก่ PSD, JPG, PNG, GIF เป็นต้น
  5. สามารถใช้ออนไลน์ได้ ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดหรือติดตั้ง

ข้อด้อยของ Photopea:

  1. แน่นอนครับ คุณสมบัติที่จำกัดเมื่อเทียบกับ Adobe Photoshop
  2. ไม่เร็วเท่าซอฟต์แวร์แก้ไขภาพอื่น ๆ อาจพบความล่าช้าหรือประสิทธิภาพการทำงานช้ากับไฟล์ขนาดใหญ่
  3. มีโฆษณามากวนใจ ในเว็บไซต์ของ Photopea หากคุณใช้ฟรี

 

4. PhotoScape X

 ดาวน์โหลด ได้ที่ x.photoscape.org

เป็น 1 ในบริการของ Photoscape ถ้าเป็นเวอร์ชั่นแบบฟรี ก็ ใส่เวอร์ชั่นพ่วงท้าย อย่างปัจจุบัน Photoscape 3.7 เน้นตกแต่งภาพครับ

Photoscape

ข้อดีของ PhotoScape X:

  1. อินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย: แม้สำหรับผู้ใช้ ไม่มีประสบการณ์ในการแก้ไขภาพมาก่อน
  2. เครื่องมือแก้ไขพื้นฐานที่หลากหลาย เช่น การครอบตัด ปรับขนาด ปรับสี และเพิ่มข้อความ ทำให้เป็นตัวเลือกที่หลากหลายสำหรับความต้องการแก้ไขภาพขั้นพื้นฐาน
  3. ความสามารถในการแก้ไขเป็นชุด: ซอฟต์แวร์ช่วยให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขภาพถ่ายหลายชุดพร้อมกันได้ ช่วยประหยัดเวลาและความพยายาม
  4. มีทั้งฟรีและ เสียงตัง แต่ ราคาไม่แพง ราคาปัจจุบัน ที่ครูบอยเขียนโพสต์นี้ ก็อยู่ที่ 1399 บาท  มีให้โหลดทั้ง Windows และ MAC ครับ

ข้อด้อยของ PhotoScape X:

  1. PhotoScape X ไม่รองรับไฟล์ RAW ในตัว ทำให้ช่างภาพมืออาชีพแก้ไขภาพถ่ายโดยใช้ซอฟต์แวร์นี้ได้ยากขึ้น
  2. สิ่งที่เจออีกอย่างคือ หากทำงานกับไฟล์ใหญ่ๆ หากเครื่องคอมฯ คุณไม่แรงพอ มีสิทธิ์ แฮ๊งก์ ครับ

 

5. Krita

 ดาวน์โหลด ได้ที่  krita.org

อีกโปรแกรมที่ผสมผสานการทำงานตกแต่งภาพและทำกราฟฟิคเข้าด้วยกัน อาจเหมาะกับมือสมัครเล่น จนถึงกลางครับ

Krita

ข้อดีของ Krita:

  1.  เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ใช้งานได้ฟรีและซอร์สโค้ดของซอฟต์แวร์นั้นเปิดเผยต่อสาธารณะ
  2. ทำงานบนระบบปฏิบัติการหลายระบบ รวมถึง Windows, Mac และ Linux
  3. เป็นมิตรกับผู้ใช้ มีอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ออกแบบมาอย่างดีและใช้งานง่าย ทำให้ใช้งานได้ง่ายแม้สำหรับผู้เริ่มต้น
  4. คุณสมบัติระดับมืออาชีพ มีเครื่องมือและคุณสมบัติขั้นสูงมากมายที่เหมาะสำหรับศิลปินมืออาชีพและ นักออกแบบกราฟิก

ข้อด้อยของ Krita:

  1. จริงๆแล้ว เหมาะกับ การออกแบบกราฟฟิคมากกว่า ถึงแม้จะมีฟังก์ชั่นด้านการตกแต่งภาพเยอะพอสมควร
  2. กินทรัพยากรเครื่องค่อนข้างสูง หากเครื่องไม่แรงมีสิทธิ์แฮงก์

 

6. Pixlr

เข้าใช้ได้ที่   pixlr.com/e/

เป็นโปรแกรมตกแต่งภาพผ่านออนไลน์ที่อยากแนะนำ ไม่ต้องเปลืองฮาร์ดดิสก์ ครับ

Pixlr

ข้อดีของ Pixlr:

  1. มีทั้งแบบเครื่องมือบนเว็บและแอพมือถือ
  2. มีเครื่องมือแก้ไขมากมาย รวมถึงฟิลเตอร์ เอฟเฟ็กต์ และแปรง ฯลฯ
  3. รองรับไฟล์ได้หลายรูปแบบ ได้แก่ JPG, PNG และ BMP
  4. ใช้งานได้ฟรี แต่ก็มีเวอร์ชั่นแบบ Paid ซึ่งเราจะได้ฟังก์ชั่นเพิ่ม เช่นเรื่องของการเพิ่มคนเข้าทีม , มีแม่แบบหรือ  Template เพิ่มเติม

ข้อด้อยของ Pixlr:

  1. ฟังก์ชันจำกัดเมื่อเทียบกับซอฟต์แวร์แก้ไขรูปภาพระดับมืออาชีพ
  2. ประสิทธิภาพต่ำสำหรับภาพขนาดใหญ่มาก
  3. มีโฆษณาหากคุณใช้แบบ ฟรี
  4. ขาดเครื่องมือแก้ไขสีและรีทัชขั้นสูง

 

7. Inkscape

 ดาวน์โหลด ได้ที่ inkscape.org/release/inkscape-1.2.2/

โปรแกรมทำงานด้านเวคเตอร์กราฟฟิค ที่ทำการตลาดไปสู่ ผู้ใช้งานตกแต่งภาพ ดังนั้น จึงมีฟังก์ชั่นที่จำเป็นต่อการตกแต่งภาพเข้ามาด้วยครับ

Inkscape

ข้อดีของ Inkscape:

  1. เป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์ส ทำให้ทุกคนใช้งานได้ฟรี (อีกแล้วครับท่าน)
  2. รองรับรูปแบบไฟล์ที่หลากหลาย รวมถึง SVG, PNG และ PDF
  3. เหมาะสำหรับนักออกแบบกราฟิกทั้งมืออาชีพและผู้เริ่มต้นงานตกแต่งภาพ

ข้อด้อยของ Inkscape:

ข้อเสียที่เห็นชัดๆ อาจทำงานช้าและมีปัญหา โดยเฉพาะกับคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าหรือไฟล์ขนาดใหญ่

 

8. Canva

เข้าใช้ได้ที่ https://www.canva.com/

ขวัญใจมหาชนในยุคนี้ เพราะใช้ฟรี ใช้งานได้หลากหลาย ตั้่งแต่การตกแต่งภาพ การออกแบบโลโก้ การทำหนัาเว็บ การทำพรีเซ้นท์เทชั่น แทน Powepoint ก็ยังได้ ครับ

Canva

ข้อดีของ Canva:

  1. ใช้งานง่ายด้วยคุณสมบัติการออกแบบแบบ ลากและวาง (Drag and Drop ) ทำให้ใช้งานง่าย แม้สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการออกแบบจำกัดหรือไม่เคยมีมาก่อน
  2. นำเสนอเทมเพลต กราฟิก และองค์ประกอบที่หลากหลายสำหรับการสร้างงานออกแบบ
  3. ใช้ผ่านเว็บไซต์ ไม่เกี่ยงแพลตฟอร์ม และยังมี แอพสำหรับ Windows และ Mac
  4. แผนราคาย่อมเยา แต่แบบ ฟรีที่มีฟีเจอร์จำกัด

ข้อด้อยของ Canva:

  1. ตัวเลือกการออกแบบและการปรับแต่ง เมื่อเทียบกับซอฟต์แวร์การออกแบบระดับมืออาชีพอย่าง Adobe Creative Suite อาจจะจำกัดสักหน่อย ถ้าใครเคยใช้ Photoshop มาก่อน
  2. รองรับการสร้างแอนิเมชั่นและวิดีโออย่างจำกัด เมื่อเทียบกับ พวกโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ อย่าง  Adobe Premiere  หรือ Sony Vegas ฯลฯ
  3. เวอร์ชันฟรีมีเทมเพลตและกราฟิกจำกัด และมีปัญหาลิขสิทธิ์ แต่หากคุณใช้แบบเสียตัง มีเทมเพลตและ Element ให้เลือกเยอะมาก ปัญหาลิขสิทธิ์ก็หมดไป หาก คุณปรับแต่งดีไซน์ให้ไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย ก็เอาไปใช้เชิงพาณิชย์ได้แล้ว ครูบอยใช้อยู่ครับ

 

เป็นไงบ้างล่ะครับ เครื่องมือ 8 โปรแกรม มาใช้ แทน Photoshop หรือเอาไว้ทำ  Content เพื่อลงใน Social Media ของคุณก็ได้ ใช้แล้วเป็นไง มาบอกกันได้นะครับ ที่ LINE OA ID ครูบอย : @kruboydigital

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *